ไม่อยากแก่ก่อนวัย กินอะไรดี มีวิธีป้องกันอย่างไร ?

ไม่อยากแก่ก่อนวัย ควรเริ่มจากวิธีการเลือกกินอาหารที่ดี ซึ่งอาหารที่กินแล้วช่วยให้เรานั้นไม่แก่ก่อนวัย มีอะไรบ้าง ?

เราต้องถามตัวเราก่อนเองว่าทุกวันนี้เรากินอาหารกันอย่างไร ? อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารสำเร็จรูป ปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ สิ่งเหล่านี้เราทานกันหรือไม่ ? แล้วรู้ไหมว่าสิ่งเหล่านี้แหละนั่นคือ หนทางที่จะทำให้เราแก่ก่อนวัย

สารบัญ

• เราควรจะเลือกรับประทานอาหารดังต่อไปนี้

ไม่อยากแก่ก่อนวัย ควรจะเลือกรับประทานดังต่อไปนี้

1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ

เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี และเมื่อทำเสร็จแล้วควรรับประทานทันที เพราะอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อนแล้ว หากทิ้งไว้ให้เย็น เชื้อโรคที่หลงเหลืออยู่หรือปนเปื้อนจะสามารถเจริญเติบโตในอาหารได้อีก

ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไร โอกาสเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโตมากขึ้น เสี่ยงลำไส้อักเสบเรื้อรัง และก็ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ปัญหาที่ตามมาก็คือ ภูมิต้านทานของเราจะอ่อนแอ ร่างกายของเราก็จะอ่อนเพลีย

2. ไม่ควรทานอาหารรสจัด

บางคนทานอาหาร เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ถ้าคนที่ไม่อยากให้แก่เร็วไม่ควรทานอาหารที่รสจัด ไม่ว่าจะรสอะไรก็ตาม จะทำให้กระเพาะของเราทำงานหนัก โทษของการกินอาหารรสจัด เช่น เกิดกรดในกระเพราะอาหาร ท้องอืด อาจทำให้อ้วน

เนื่องจากอาหารรสจัด ทำให้เรามีความอยากรับประทานอาหารมากขึ้น เสี่ยงกับโรคไต เพราะอาหารเค็มจัดมักจะมีส่วนผสมของเกลือ ชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่ในปริมาณมาก และเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง

อาหารรสหวานจัด อาจทำให้เป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน และมีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ เราต้องเลือกกินอาหารรสจืด เริ่มจากค่อยๆ ลดการปรุงรส ลดการกินน้ำจิ้ม

3. ไม่ควรรับประทานอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป

เพราะว่าการทานอาหารประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นข้าว พวกเส้นต่างๆ หรือว่าขนม ที่ทำมาจากแป้งและของหวานๆ มันจะมีผลต่อร่างกายแน่นอน

เนื่องจากร่างกายของเราจะเก็บแป้งที่ร่างกายเผาผลาญไม่หมด เป็นไขมันสะสมตามตัว เกิดผลเสียต่อสุขภาพต่างๆ ของเรามากมาย กลุ่มข้าว แป้ง

เราควรได้รับวันละ 8-12 ทัพพี รวมถึงก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ขนมจีน ขนมปังหรือขนมทั้งหลายที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมเค้ก ซาลาเปา บัวลอย ซ่าหริ่ม อะไรที่เป็นแป้งนับรวมอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งหมด

4. ควรทาน ผัก ผลไม้

กลุ่มผัก แหล่งของใยอาหาร ผู้ใหญ่ควรทานผักวันละ 6 ทัพพี เด็กๆ วันละ 4 ทัพพี (1 ทัพพี ประมาณ 3-4 ช้อนกินข้าว)

กลุ่มผลไม้ ควรทานผลไม้วันละ 3-5 ส่วน แต่ละ 1 ส่วนของผลไม้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ผล, ส้มเขียวหวาน 1 ผลใหญ่, ฝรั่ง ครึ่งผล, เงาะ 4 ผล

ถ้าเป็นผลไม้ใหญ่ เช่น มะละกอ, สับปะรด, แตงโม ประมาณ 6-8 คำ เท่ากับ 1 ส่วน ปริมาณผลไม้มากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการของพลังงาน

5. ต้องรู้ว่าวันนึงเราจะต้องรับพลังงานวันละเท่าไรโดยประมาณ

การรู้เรื่องพลังงานที่ได้รับจากอาหารในแต่ละวัน เฉลี่ยพลังงานทั้งหมดที่ต้องการต่อวัน ประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี่ อัตราส่วนอาหารที่เหมาะสม คือ ร้อยละ 50 ของพลังงานมาจากคาร์โบไฮเดรต อาหารแป้งไม่เกิน 250 กรัมต่อวัน, ร้อยละ 20 ของพลังงานมาจากโปรตีน (ประมาณ 100 กรัมต่อวัน)

6. เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย

การเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ผลไม้ ข้าว เนื้อไก่ อาหารจำพวกซุปชนิดต่างๆ ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต มีผลทำให้สุขภาพของระบบย่อยของเราดีขึ้น

7. การเคี้ยวอาหาร

ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เคี้ยวช้าๆ ประมาณ 30 ครั้งต่อหนึ่งการที่เราทานเข้าไป เพราะข้อดีที่เห็นชัดเจน คือ จะช่วยให้ระบบย่อยของเราทำงานน้อยลง

การเคี้ยวให้ช้าลง จะช่วยกระตุ้นสมอง และต่อมน้ำลาย ดังนั้นใครที่ชอบเคี้ยวอาหารเร็วๆ และก็อาหารเข้าไปย่อยไม่ดี ก็จะทำให้เกิดภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ หลายคนทานอาหารเสร็จแล้วจะมีปัญหาเหล่านี้ตามมามากมาย

8. ควรดื่มน้ำเมื่อตื่นนอนทันที

เพื่อความสดชื่น กระตุ้นระบบขับถ่าย ระบบหลอดเลือด ความดันโลหิต และก่อนอาหารอย่างน้อยๆ 15 นาที ส่วนระหว่างรับประทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที

ดื่มน้ำไม่เกินครึ่งแก้วจะช่วยให้น้ำย่อยเข้มข้น ย่อยอาหารได้เต็มที่ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางข้างๆ ตัว จิบไปทั้งวัน เรียกว่าให้ลำไส้ดูดซึมได้ทัน

9. ไม่ควรรับประทานอาหารที่ผ่านการแปรรูป

อาหารแปรรูปต่างๆ เช่น พวกธัญพืชที่มีการแปรรูปมาก อาจจะมีน้ำตาลฟรุกโตส สีผสมอาหาร หรือผงชูรส สารเติมแต่งต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ก่อให้เกิดมะเร็งได้ อาจจะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่ไม่ดี นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เราแก่ก่อนวัยได้

บทความที่เกี่ยวข้อง

• อาหาร ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หาง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว
• ดื่มน้ำ หลังตื่นนอนทันที ก่อนการแปรงฟัน ดีจริงหรือไม่ ?
• หญิงชายวัยทอง กับการดูแลสุขภาพช่องปาก